วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558

WEEK4 โปรเเกรมภาษาคอมพิวเตอร์



โปรเเกรมภาษาคอมพิวเตอร์

                      เราใช้ภาษาเพื่อใช้ในการสื่อสารซึ่งกันและกันทำให้เราเข้าใจตรงกัน ซึ่งแต่ละภาษาก็มีความแตกต่างกันไป และในคอมพิวเตอร์เองก็มีภาษาคอมพิวเตอร์เช่นกัน ภาษาคอมพิวเตอร์คืออะไร และใช้เพื่ออะไรนั้น เราไปดูกันเลย >>>>

ภาษาคอมพิวเตอร์ หมายถึง ภาษาใดๆ ที่ผู้ใช้งานใช้สื่อสารกับคอมพิวเตอร์ หรือคอมพิวเตอร์ด้วยกัน แล้วคอมพิวเตอร์สามารถทำงานตามคำสั่งนั้นได้ คำนี้มักใช้เรียกแทนภาษาโปรแกรม แต่ความเป็นจริงภาษาโปรแกรมคือส่วนหนึ่งของภาษาคอมพิวเตอร์เท่านั้น และมีภาษาอื่นๆ ที่เป็นภาษาคอมพิวเตอร์เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น HTML เป็นทั้งภาษามาร์กอัปและภาษาคอมพิวเตอร์ด้วย แม้ว่ามันจะไม่ใช่ภาษาโปรแกรม หรือภาษาเครื่องนั้นก็นับเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ ซึ่งโดยทางเทคนิคสามารถใช้ในการเขียนโปรแกรมได้ แต่ก็ไม่จัดว่าเป็นภาษาโปรแกรม


ภาพจากhttp://www.amplysoft.com


ภาษาคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือ ภาษาระดับสูง (high level) และภาษาระดับต่ำ (low level) 

 ภาษาระดับต่ำ ได ้แก่ ภาษาเครื่อง และภาษา Assembly


 ภาษาระดับสูง ได ้แก่ Basic, Pascal, Ada, C, Cobol, Fortran และอื่นๆ

ภาษาระดับสูงใช้งานง่ายและสะดวกสบายมากกว่าภาษาระดับต่ำ ภาษาระดับต่ำควบคุมอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ได้ดีกว่า

ภาษาคอมพิวเตอร์แบ่งออกได้เป็น 5 ยุค

ยุคที่ 1 ภาษาเครื่อง ( Machine Language)
            ภาษาเครื่อง เป็นภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ระดับต่ำที่สุด ซึ่งคอมพิวเตอร์เข้าใจได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านตัวแปลภาษาเพราะเขียนคำสั่งและแทนข้อมูลด้วยเลขฐานสอง (Binary Code) ทั้งหมด ซึ่งเป็นการเขียนคำสั่งด้วยเลข 0 หรือ 1 

ภาพจากwww.krumontree.com

ข้อดีของภาษาเครื่อง คือสามารถเขียนโปรแกรมควบคุมการทำงานคอมพิวเตอร์ได้โดยตรง และสั่งงานให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้อย่างรวดเร็ว

ยุคที่ 2 ภาษาแอสเซมบลี ( Assembly Language)
             ภาษาแอสเซมบลี จัดอยู่ในภาษาระดับต่ำ และเป็นภาษาที่พัฒนาต่อมาจากภาษาเครื่อง ภาษาแอสเซมบลีมีความใกล้เคียงกับภาษาเครื่องมาก คือ 1 คำสั่งของภาษาแอสเซมบลีจะเท่ากับ 1 คำสั่งของภาษาเครื่อง โดยที่ภาษาแอสเซมบลีจะเขียนคำสั่งเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ เพื่อใช้แทนคำสั่งภาษาเครื่อง ทำให้นักเขียนโปรแกรมสามารถเขียนโปรแกรมได้ง่ายขึ้น โดยการจดจำรหัสคำสั่งสั้นๆ ที่จำได้ง่าย ซึ่งเรียกว่า นิวมอนิกโค้ด 

สรุปคำสั่งที่เขียนด้วยภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ในยุคที่ 1 และที่ 2 ะต้องใช้เทคนิคการเขียนโปรแกรมสูง เพราะมีความยืดหยุ่นในการเขียนน้อยมาก และมีความยากในการเขียนคำสั่งสำหรับผู้เขียนโปรแกรม แต่สามารถควบคุม และเข้าถึงการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ได้โดยตรง และมีความรวดเร็วกว่าการใช้ภาษาระดับอื่นๆ


ยุคที่ 3 ภาษาระดับสูง ( High-level Language)
                  การเขียนโปรแกรมด้วยภาษาระดับสูงจะต้องใช้ตัวแปลภาษา ที่เรียกว่า คอมไพเลอร์ (Compiler) เพื่อแปลภาษาระดับสูงโดยการตรวจสอบไวยากรณ์ของภาษาระดับสูง ไปเป็นภาษาเครื่องเพื่อสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานต่อไป โดยคอมไพเลอร์ของภาษาระดับสูงแต่ละภาษาจะแปลเฉพาะภาษาของตนเอง และทำงานได้เฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์ชนิดเดียวกันเท่านั้น 



สรุปภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 3 มีการเขียนโปรแกรมที่ง่ายกว่าในยุคที่ 2 สามารถทำงานได้บนเครื่องคอมพิวเตอร์หลายระดับ โดยต้องใช้ควบคู่กับตัวแปลภาษา  สำหรับเครื่องนั้นๆ และมีความยืดหยุ่นในการแก้ปัญหาได้มากกว่าภาษาระดับต่ำ


ยุคที่4 ภาษาระดับสูงมาก ( Very high-level Language)
                เป็นภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมด้วยคำสั่งสั้นๆและง่ายกว่าภาษาในยุคก่อนๆ มีการทำงานแบบไม่จำเป็นต้องบอกลำดับของขั้นตอนการทำงานเขียนโปรแกรมได้ง่ายและรวดเร็ว กว่าภาษาระดับสูงในยุคที่ 3 มีการเขียนโปรแกรมแบบบอกขั้นตอนการทำงาน  ภาษาระดับสูงมากทำงานเหมือนกับภาษาพูดว่าต้องการอะไร และเขียนเหมือนภาษาอังกฤษ


ยุคที่5 ภาษาธรรมชาติ ( Natural Language)
                 ภาษาธรรมชาติจัดภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ยุคที่ห้า สั่งงานคอมพิวเตอร์ทำงานโดยการใช้ภาษาธรรมชาติต่างๆ เช่น ภาพ หรือ เสียง โดยไม่สนใจรูปแบบไวยากรณ์หรือโครงสร้างของภาษามากนัก ซึ่งคอมพิวเตอร์จะพยายามคิดวิเคราะห์ และแปลความหมายโดยอาศัยการเรียนรู้ด้วยตนเองและระบบองค์ความรู้ มาช่วยแปลความหมายของคำสั่งต่างๆและตอบสนองต่อผู้ใช้งาน
ข้อดีของภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 5 คือผู้เขียนโปรแกรมสามารถเขียนโปรแกรมได้เร็ว โดยไม่ต้องมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรม แต่คอมพิวเตอร์ที่ใช้โปรแกรมต้องมีระบบรับคำสั่ง และประมวลผลแบบอัจฉริยะ สามารถตอบสนองและทำงานได้หลายแบบ

**ภาษา Java และภาษา  C และ C++
สำหรับภาษาจาวาและภาษา c นั้น เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ที่ได้ยินการพูดถึงกันบ่อยๆและคงพบเห็นกันตามหนังสือเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ แต่ก็อาจยังไม่รู้ว่าใช้ทำอะไร จึงนำข้อมูลเกี่ยวกับภาษาคอมพิวเตอร์ทั้ง 2 อย่างนี้มาเพื่อไขข้อข้องใจกัน >>>>>>


ภาพจากhttp://anonjava.blogspot.com/



ภาษา Java  เป็นภาษาระดับสูงในยุคที่ 4 ที่สนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้วัตถเป็นหลักในการพิจารณาสิ่งต่างๆที่สนใจ ดังนั้นโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษา Java ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มของ Object ถูกจัดกลุ่มในรูปของ Class โดยที่แต่ละคลาสมีคุณสมบัติการถ่ายทอดลักษณะภาษา Java ได้รับความนิยมอย่างสูง เนื่องจากโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษา Java สามารถทำงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีสภาวะแวดล้อมต่างกันได้โดยไม่ขึ้นกับแพตฟอร์มใดๆ  เป็นภาษาที่มีไวยากรณ์เข้าใจง่าย 

 ภาพจากdevcbytonfern.blogspot.com


ภาษา C  เป็นภาษาระดับสูง เป็นภาษาที่รวมเอาข้อดีของภาษาระดับสูงในเรื่องของความยืดหยุ่น และไวยากรณ์ ที่ง่ายต่อการเข้าใจมีประสิทธิภาพและความเร็วในการทำงาน ทำให้โปรแกรมที่พัฒนาด้วย ภาษาซีทำงานได้เร็วกว่าโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษาระดับสูงอื่น ๆ ในขณะที่การพัฒนา และแก้ไขโปรแกรมสามารถทำได้ง่ายเช่นเดียวกับภาษาระดับสูงทั่ว ๆ ไป นอกจากนี้ภาษา C ยังได้มีการพัฒนาก้าวหน้าขึ้นไปอีก โดยทำการประยุกต์แนวความคิดของการ โปรแกรมเชิงวัตถุเข้ามาใช้ในภาษา ทำให้เกิดเป็นภาษาใหม่คือ C++  ซึ่งเป็นภาษาที่ได้รับความนิยมใช้ในงานพัฒนาโปรแกรมอย่างมาก
                  

อ้างอิง http://www.elearning.msu.ac.th/opencourse/1201104/Unit_1/Unit_1_01_3.htm
           https://th.wikipedia.org/wiki/



วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558

week3 Social Network กับนักเรียนและสังคมไทย




SOCIAL NETWORK กับนักเรียนและสังคมไทย

thai-social-network-addict
           ภาพจากhttp://www.it24hrs.com/2014/thai-social-network-day-in-a-life/
           ในปัจจุบันนี้เชื่อว่าหลายคนได้ใช้อินเทอร์เน็ตผ่านทาง Hi-Speed Internet หรือ Wi-Fi ตามบ้าน ที่ทำงาน  หรือใช้ผ่าน 3G 4G บนสมาร์ทโฟน และ แท็บเล็ต พฤติกรรมคนไทยในการใช้งานอินเทอร์เน็ตแทบจะทุกวันก็คือการใช้งานบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ ( Social Network ) จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันไปซะแล้ว
           โดยคนไทยที่ชอบออนไลน์ ส่วนใหญ่จะใช้งาน Social Network ตั้งแต่ตื่นนอน เข้าห้องน้ำ ระหว่างเดินทาง เข้าไปทำงาน   ไม่ว่าจะตอนตื่นนอน, เข้าห้องน้ำ, เดินทาง ขณะทำงาน  หรือแม้กระทั่งก่อนนอน ก็ยังเช็ค Social Network 

Social Network คืออะไร
      โซเชียลเน็ตเวิร์ค หรือ Social Network คือเครือข่ายสังคมออนไลน์ หรือการที่ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตคนหนึ่ง เชื่อมโยงกับเพื่อนอีกนับสิบ รวมไปถึงเพื่อนของเพื่อนอีกนับร้อย ผ่านผู้ให้บริการด้านโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) บนอินเตอร์เน็ต เช่น Facebook, Blogger, Hi5, Twitter หรือ Tagged เป็นต้น (บางเว็บไซต์ที่กล่าวถึงในตัวอย่าง ปัจจุบันนี้ได้เสื่อมความนิยมแล้ว)  การเชื่อมโยงดังกล่าว ทำให้เกิดเครือข่ายขึ้น เช่น เราสามารถรู้จักเพื่อนของเพื่อนเราได้เป็นทอดๆต่อไปเรื่อยทำให้เกิดสังคมเสมือนจริงขึ้นมาสามารถสร้างคอนเน็คชั่นใหม่ๆได้ง่ายและเมื่อเราแชร์ (Share)ข้อความหรืออะไรก็ตามลงไปในเครือข่ายทุกคนในเครือข่ายก็สามารถรับรู้ได้พร้อมกันและสามารถตอบสนองต่อสิ่งที่เราแชร์ได้  เช่น แสดงความคิดเห็น (Comment)  กดไลค์ (Like) ซึ่งอาจจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละผู้ให้บริการความโดดเด่นในเรื่องความง่ายของโซเชียเน็ตเวิร์คทำให้ธุรกิจและนักการตลาดสนใจที่จะใช้เป็นเครื่องมือในกาประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการ 

พฤติกรรมการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ของคนไทย

พฤติกรรมของผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ต ปรับเปลี่ยนจากการรับข่าวสารจาก Portral Site มาเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) เว็บไซต์ เริ่มเด่นชัดตั้งแต่ช่วงปี 2007 หรือ พ.ศ. 2550 เป็นต้นมา และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีผลการศึกษาพบว่าประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ใช้เพื่ออัพเดตข้อมูลข่าวสาร และอีก 1 ใน 3 เพื่อคุยกับเพื่อนและคนรู้จัก นั่นสะท้อนให้เห็นเป็นอย่างดีว่าผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตติดตามข่าวสารจากโซเชียลเน็ตเวิร์ค(Social Network) มากขึ้น

day-in-a-life-thai-social-network-00
ภาพจากhttp://www.it24hrs.com/2014/thai-social-network-day-in-a-life/

Zocial inc. บริษัทด้านการวิเคราห์ข้อมูลเกี่ยวกับ Social Network  ได้ทำการสำรวจคนไทยกว่า 655 คน เกี่ยวกับการใช้ Social Media ในชีวิตประจำวันตั้งแต่ตื่นนอน จนจบวัน ได้ข้อมูลที่สำคัญและน่าสนใจดังนี้  คนไทยใช้ Facebook มากถึง 99%  ,  ใช้ LINE 84%  ,ใช้ Instagram 56% ,   ใช้ Google+ 41%  และใช้ Twitter 30%

day-in-a-life-thai-social-network-01
ภาพจากhttp://www.it24hrs.com/2014/thai-social-network-day-in-a-life/

 หากแบ่งเป็น อัตราการใช้ Social Network เป็นช่วงกิจกรรมต่างๆ ใน1 วัน พบว่าคนไทยใช้ Facebook เป็นอันดับ 1 ในทุกๆกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นตอนอยู่บนเตียงในช่วงตื่นนอนหรือก่อนนอน เข้าห้องน้ำ เดินทาง ไปทำงาน รอเพื่อน  ก็ใช้ facebook กันทุกกิจกรรม  แต่ที่น่าสนใจคือ Social Network ตัวอื่นๆที่เหลือ ที่ผู้ใช้มักเลือกใช้ในช่วงเวลาที่ต่างกันไป ดังนั้น ถ้าเราจะสื่อสารอะไรถึงผู้ใช้ ต้องเลือกเข้าให้ถูกช่องทาง และถูกเวลาเพื่อที่จะเกิดประสิทธิภาพ

day-in-a-life-thai-social-network-02
ภาพจากhttp://www.it24hrs.com/2014/thai-social-network-day-in-a-life/
ส่วนกิจกรรมการตลาด ที่โดนใจผู้ใช้งานมากที่สุด 
  • กิจกรรมคอมเม้นต์ ใต้โพสต์  มีคนชอบ 91%
  • กิจกรรม Like และ Share เพจมีคนชอบ 79%
  • กิจกรรม Share Video Clip ต่างๆมีคนชอบ 68%
  • กิจกรรมถ่ายรูปคู่ผลิตภัณฑ์ มีคนชอบ 65%
จะเห็นได้ว่ากิจกรรมที่คนชอบมากที่สุดคือ “การคอมเม้นต์ตอบใต้โพสต์” เนื่องมาจากขั้นตอนที่ง่าย ไม่ซับซ้อน เพราะสมัยนี้จะทำอะไรต้อง เร็ว กระชับ ไม่ซับซ้อน ในขณะที่กิจกรรมที่คนชอบน้อยที่สุดคือ “การถ่ายและอัพโหลดภาพตัวเองคู่กับผลิตภัณฑ์” อาจจะมีสาเหตุเนื่องมาจากขั้นตอนเยอะยุ่งยากเกินไป
ข้อดีของ Social Network
  • สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ในสิ่งที่สนใจร่วมกันได้

  • เป็นคลังข้อมูลความรู้ขนาดย่อมเพราะเราสามารถเสนอและแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนความรู้ หรือตั้งคำถามในเรื่องต่างๆ เพื่อให้บุคคลอื่นที่สนใจหรือมีคำตอบได้ช่วยกันตอบ
  • ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสารกับคนอื่น สะดวกและรวดเร็ว

  • เป็นสื่อในการนำเสนอผลงานของตัวเอง เช่น งานเขียน รูปภาพ วีดิโอต่างๆ เพื่อให้ผู้อื่นได้เข้ามารับชมและแสดงความคิดเห็น

  • ใช้เป็นสื่อในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือบริการลูกค้าสำหรับบริษัทและองค์กรต่างๆ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า

  • ช่วยสร้างผลงานและรายได้ให้แก่ผู้ใช้งาน เกิดการจ้างงานแบบใหม่ๆ ขึ้น

  • คลายเคลียดได้สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการหาเพื่อนคุยเล่นสนุกๆ

  • สร้างความสัมพันธ์ที่ดีจากเพื่อนสู่เพื่อนได้

ข้อเสียของ Social Network
  • เว็บไซต์ให้บริการบางแห่งอาจจะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป หากผู้ใช้บริการไม่ระมัดระวังในการกรอกข้อมูล อาจถูกผู้ไม่หวังดีนำมาใช้ในทางเสียหาย หรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคลได้

  • Social Network เป็นสังคมออนไลน์ที่กว้าง หากผู้ใช้รู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือขาดวิจารณญาณ อาจโดนหลอกลวงผ่านอินเทอร์เน็ต หรือการนัดเจอกันเพื่อจุดประสงค์ร้าย ตามที่เป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์

  • เป็นช่องทางในการถูกละเมิดลิขสิทธิ์ ขโมยผลงาน หรือถูกแอบอ้าง เพราะ Social Network Service เป็นสื่อในการเผยแพร่ผลงาน รูปภาพต่างๆ ของเราให้บุคคลอื่นได้ดูและแสดงความคิดเห็น

  • ข้อมูลที่ต้องกรอกเพื่อสมัครสมาชิกและแสดงบนเว็บไซต์ในรูปแบบ Social Network ยากแก่การตรวจสอบว่าจริงหรือไม่ ดังนั้นอาจเกิดปัญหาเกี่ยวกับเว็บไซต์ที่กำหนดอายุการสมัครสมาชิก หรือการถูกหลอกโดยบุคคลที่ไม่มีตัวตนได้

  • ผู้ใช้ที่เล่น social  network และอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานอาจสายตาเสียได้หรือบางคนอาจตาบอดได้      

  • ถ้าผู้ใช้หมกหมุ่นอยู่กับ social  network มากเกินไปอาจทำให้เสียการเรียนหรือผลการเรียนตกต่ำลงได้

  • จะทำให้เสียเวลาถ้าผู้ใช้ใช้อย่างไร้ประโยชน์


อ้างอิงจากhttp://www.it24hrs.com/2014/thai-social-network-day-in-a-life/
http://www.microbrand.co/social-network-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3-%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3/
http://www.thaigoodview.com/library/contest2553/type1/tech03/26/benefit.html

วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2558

week2 เรื่องที่นักเรียนสนใจ



“Marvel's Agents of S.H.I.E.L.D.: มาร์เวล หน่วยปฏิบัติการสายลับชิลด์”



ภาพจาก www.loveserieshd.com

             Marvel's Agents of S.H.I.E.L.D.เป็นซีรี่ส์ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่หน่วยชีลด์ ตัวละครที่เราเห็นในหนังซูเปอร์ฮีโร่หลายเรื่องของมาร์เวลเช่น Iron Man, Thor และ The Avengers ที่ออกสืบเรื่องราวแปลกประหลาดทั่วโลก เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้พ้นจากเรื่องเหนือธรรมชาติทุกรูปแบบคลาร์ก เกร็กก์ กลับมารับบทเป็นเจ้าหน้าที่ ฟิล โคลสัน อีกครั้ง นำทีมการสืบสวนต่างๆ สมทบด้วย เบรทท์ ดาลตัน ในบทเจ้าหน้าที่ แกรนท์ วอร์ดเจ้าหน้าที่ที่เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้และจารกรรม, มิงนา เวน รับบทเป็นเจ้าหน้าที่ เมลินดา เมย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการขับเครื่องบินและศิลปะป้องกันตัว, เอียน เดอ เคสเตคเกอร์ รับบทเป็นเจ้าหน้าที่ลีโอ ฟิทซ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมอลิซาเบธ เฮนสไตรด์ รับบทเป็นเจ้าหน้าที่เจมมา ซิมมอนส์ อัจฉริยะด้านชีวภาพ และ โคลอี้ เบนเน็ต รับบทเป็น สกาย สมาชิกใหม่ของทีมที่เชี่ยวชาญด้านแฮ็คเกอร์ ซีรี่ส์ชุดนี้มีจอส วีดอน ร่วมอำนวยการสร้างด้วย!!
เราไปดูโฉมหน้านักแสดงนำกันดีกว่าาา

คลาร์ก เกร็กก์ รับบทเป็นเจ้าหน้าที่ ฟิล โคลสัน
 ภาพจากhttps://comicsguide.wordpress.com
                                                          เบรทท์ ดาลตันรับบทเจ้าหน้าที่ แกรนท์ วอร์ด
ภาพจากhttp://marvelthairider.blogspot.com/

มิงนา เวน รับบทเป็นเจ้าหน้าที่ เมลินดา เมย์
ภาพจากhttp://marvelthairider.blogspot.com/

เอียน เดอ เคสเตคเกอร์ รับบทเป็นเจ้าหน้าที่ลีโอ ฟิทซ์ 
ภาพจากhttp://kodhd.tv/index.php/

อลิซาเบธ เฮนสไตรด์ รับบทเป็นเจ้าหน้าที่เจมมา ซิมมอนส์
ภาพจากhttp://kodhd.tv/index.php

โคลอี้ เบนเน็ต รับบทเป็น สกาย 
ภาพจากhttp://kodhd.tv/index.php


ในซีซั่นแรก เป็นเหมือนกันการรวมตัวทำงานด้วยกันเป็นครั้งแรก การปรับตัวจึงดูจะเป็นสิ่งสำคัญ ขณะที่
เหล่าผู้ร้ายก็อาจไม่ถึงกับระดับเทพ ศัตรูหลักๆ ที่สำคัญคือพวกไฮดร้า กับองค์กรพันธมิตร แต่เหล่าอะเวนเจอร์สแทบจะไม่โผล่มาให้เห็น นอกจากถูกพาดพิงถึงก็เท่านั้น ยุทโธปกรณ์ค่อนข้างมีมาทุกตอน แต่ เดอะบัส คืออุปกรณ์ที่น่าทึ่งที่สุด ก็เครื่องบินไฮเทคของพวกเขา
        สิ่งที่เป็นปริศนาที่สุดในซีซั่น คือ หลายคนที่ติดตามจักรวาลมาร์เวลในช่วงที่ผ่านมา จะรู้ว่าเอเจนต์โคลสันนั้นควรจะตายไปแล้ว แต่ทำไมเขาจึงยังมีชีวิตอยู่ได้ในซีรี่ส์นี้ มีความลับที่เซอร์ไพรส์จากเอเจนต์คนหนึ่ง พร้อมทั้งความลับของเอเจนต์อีกคนหนึ่งที่จะถูกเปิดเผยในซีซั่นสอง

http://www.comicbookbrainsplatter.com/

               เมื่อหน่วยงาน S.H.I.E.L.D. ซึ่งทำหน้าที่ปกป้องชาวโลกจากภัยร้ายต่างๆไม่ว่าจากต่างดาวหรือฝึมือมนุษย์ที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง ได้ถูกองค์กรไฮดร้าเข้าแทรกซึมทั้งในระดับผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน  ทำให้ S.H.I.E.L.D. ถูกครอบงำจากศัตรูเก่าที่ไม่มีใครคิดว่ายังมีตัวตนและรอคอยการกลับมาอย่างเงียบๆ จนทำให้ผู้อำนวยการฟิวรี่ ต้องแกล้งตายเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอย โคลสันและลูกทีมจึงต้องหาหนทางที่จะทำลายล้างองค์กรไฮดร้าด้วยตัวเอง 
          
                ในซีซั่นสองหน่วยชิลด์ที่เหมือนถึงกาลล่มสลายหากแต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ พวกเขายังคงรวมตัวกันอยู่อย่างลับๆ สมาชิกบางส่วนอาจหายแหว่งไป แต่ก็ได้อีกหลายส่วนเข้ามาเสริมกำลัง ก็คงเหมือนเดิมที่พวกเขาต้องใช้เวลาในการจูนต่อกันสักนิด ซีซั่นนี้มีทั้ง เอเจนต์แม็ค (Henry Simmons), เอเจนต์ทริปเล็ตต์ (B.J. Britt), เอเจนต์ฮันเตอร์ (Nick Blood) และเอเจนต์มอร์ส (Adrianne Palicki) เดอะบัสลำใหม่ที่ใหญ่และทันสมัยกว่าเดิม พร้อมกับภารกิจที่ตื่นเต้นมากยิ่งขึ้นเมื่อพวกเขาได้พบกับวัตถุต่างดาวชิ้นใหม่ที่ทรงอานุภาพกว่า แถมทำให้บางสิ่งมันเปลี่ยนแปลงไปอีกด้วย ความลับของตัวละครสำคัญอย่าง สกาย ที่ตอนนี้เธอได้เป็นเอเจนต์เต็มตัวแล้ว มันจะสั่นคลอนความเป็นหน่วยชิลด์ของเธอและคนอื่นๆ ได้แค่ไหน เรื่องราวจะเป็นอย่างไรติดตามชมได้ใน marvel agent of s.h.i.e.l.d season 2




ขอบคุณข้อมูลจาก: http://www.patsonic.com/series/marvels-agents-of-s-h-i-e-l-
http://tvseriesclub.com/marvels-agents-of-s-h-i-e-l-d-season-2-

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558

week1เทคโนโลยีกับชีวิตประจำวันของนักเรียน



เทคโนโลยีกับชีวิตประจำวันของนักเรียน


                     ในชีวิตประจำวันเราต้องเจอกับเทคโนโลยีสารสนเทศมากมายเลยครับ ดังนั้นเทคโนโลยีจึงมีผลกับเรา ไม่ว่าจะเป็นการเรียนการสอนในโรงเรียนจะมีการนำคอมพิวเตอร์และเครื่องมือประกอบช่วยในการเรียนรู้ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติหลายอย่างจำเป็นต้องใช้สารสนเทศ เช่น การดูแลรักษาป่า จำเป็นต้องใช้ข้อมูล มีการใช้ภาพถ่ายดาวเทียม การติดตามข้อมูลสภาพอากาศ การพยากรณ์อากาศ การจำลองรูปแบบสภาวะสิ่งแวดล้อมเพื่อปรับปรุงแก้ไข การเก็บรวมรวมข้อมูลคุณภาพน้ำในแม่น้ำต่าง ๆ การตรวจวัดมลภาวะ เป็นต้น ในการแข่งขันทางด้านการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมก็จำเป็นต้องหาวิธีการในการผลิตให้ได้มาก ราคาถูกลงเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทมาก มีการใช้ข้อมูลข่าวสารเพื่อการบริหารและการจัดการ การดำเนินการและยังรวมไปถึงการให้บริการกับลูกค้า เพื่อให้ซื้อสินค้าได้สะดวกขึ้น จะเห็นว่าเทคโนโลยีส ารสนเทศมีผลเกี่ยวข้องกับทุกเรื่องในชีวิตประจำวัน บทบาทเหล่านี้มีแนวโน้มที่สำคัญมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้เยาวชนคนรุ่นใหม่จึงควรเรียนรู้และเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อจะได้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศให้ก้าวหน้าและเกิดประโยชน์ต่อประเทศต่อไป


ภาพจากhttp://kanjanapornjomz.blogspot.com/

บทบาทความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ
ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้มีการพัฒนาคิดค้นสิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่อการดำชีวิตเป็นอันมาก เทคโนโลยีได้เข้ามาเสริมปัจจัยพื้นฐานการดำรงชีวิตได้เป็นอย่างดี เทคโนโลยีทำให้การสร้างที่พักอาศัยมีคุณภาพมาตรฐาน สามารถผลิตสินค้าและให้บริการต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์มากขึ้น เทคโนโลยีทำให้ระบบการผลิตสามารถผลิตสินค้าได้เป็นจำนวนมากมีราคาถูกลง สินค้าได้คุณภาพ เทคโนโลยีทำให้มีการติดต่อสื่อสารกันได้สะดวก การเดินทางเชื่อมโยงถึงกันทำให้ประชากรในโลกติดต่อรับฟังข่าวสารกันได้ตลอดเวลา

ภาพจาก http://rusmiti.blogspot.com/

เทคโนโลยีสารสนเทศกับการติดต่อสื่อสาร

             หากจะกล่าวถึงความก้าวหน้าของโทรคมนาคมในปัจจุบันนี้แล้ว ย่อมกล่าวได้ว่า โทรคมนาคมได้มีการพัฒนาให้ทันสมัยหรือทันต่อความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลกอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ ก็เนื่องจากความเจริญก้าวหน้าของโลกที่ได้เปลี่ยนเป็นโลกแบบโลกาภิวัฒน์ จึงทำให้การติดต่อสื่อสารระหว่างประเทศเป็นไปได้อย่างสะดวกและรวดเร็วขึ้น หรือกล่าวได้ว่าเป็นโลกที่ไร้พรมแดน ดังนั้น ผู้คนทั่วโลกจึงสามารถทำการติดต่อสื่อสารกันได้อย่างทั่วถึง รวมทั้งก่อให้เกิดความสัมพันธ์หรือความร่วมมือกันในระหว่างประเทศของแต่ละประเทศอีกด้วย

ภาพจากhttps://doodee01loveyou.wordpress.com
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในชีวิตประจำวัน
                 โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบันคงไม่มีใครปฏิเสธ ว่าเทคโนโลยีสารสนเทศ(Information Technology)หรือที่เรียกว่าITได้ เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้นการสื่อสารข้อมูลเป็นไปด้วย ความรวดเร็วและเชื่อมโยงกันอย่างทั่วถึงและกว้างขวาง(Globalization) เทคโนโลยีทางด้านการสื่อสาร(Communication)และคอมพิวเตอร์(Computer) ได้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการติดต่อแลกเปลี่ยนสารสนเทศ (Information) ที่มีประสิทธิภาพทำให้เกิดเครือข่ายข้อมูลครอบคลุมทั่วโลกหรือWWW(Worldwide Web)ที่เราเห็นได้จากการใช้งานในระบบอินเตอร์เน็ต(Internet)ซึ่งได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ประจำวันไปแล้วและกำลังขยายปริมาณจำนวนผู้ใช้มากขึ้นๆ


ภาพจากhttps://benjarongsam.wordpress.com/


ข้อดีข้อเสียของเทคโนโลยีสารสนเทศ

ข้อดี
        1.ลดเวลาในการทำงานลง
        2.ประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
        3.ในความบันเทิงแก่ผู้ใช้งาน
        4.ใช้ค้นหาความรู้ได้
        5.ใช้เป็นสื่อในการเรียนการสอน
    ข้อเสีย
        1.ทำให้เกิดขยะของเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น
        2.ทำให้ไม่เกิดการออกกำลังกาย
        3.ทำให้มีการหลอกลวงเพิ่มขึ้น
        4.การใช้งานมากๆทำให้ลืมเทคโนโลยีสมัยเก่าลง
        5.มีการเปลี่ยนเทคโนโลยีไปมากทำให้ตามไม่ทัน